อัปคะแนน IELTS ด้วย IELTS One Skill Retake - ดูเพิ่มเติม

Close
1-Essential grammar rules to know for your IELTS test - SEA

ในขณะที่คุณเตรียมตัวสอบ IELTS และพยายามฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษ คุณจะพบว่าหัวใจของทุกสิ่งคือการเรียนรู้ไวยากรณ์ซึ่งเป็นรากฐานที่นิยามความสามารถของคุณในส่วนประกอบทั้ง 4 ของการสอบ IELTS ได้แก่ การฟัง การอ่าน การเขียน และการพูด

ในบทความนี้เราจะอธิบายหลักไวยากรณ์ที่จำเป็นพร้อมเคล็ดลับและข้อมูลเชิงลึกเพื่อปรับทักษะทางภาษาของคุณสำหรับการสอบ IELTS

1.  ทำความเข้าใจโครงสร้างประโยค

การเรียนรู้โครงสร้างประโยคให้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญในการทำข้อสอบ IELTS ให้ออกมาดี โดยเรียนรู้ที่จะเข้าใจความแตกต่างของหลักการ Subject-verb agreement หลักการ Tense และหลักการ Active and passive voice เพื่อเพิ่มความชัดเจนและความเชื่อมโยงในภาษาอังกฤษ

Subject - Verb Agreement

หนึ่งในหลักการที่เป็นพื้นฐานที่สุดของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษคือการใช้คำกริยาให้สอดคล้องกับประธาน ซึ่งประธานที่เป็นเอกพจน์จะใช้กริยาที่เป็นเอกพจน์เช่นเดียวกับประธานที่เป็นพหูพจน์จะใช้กริยาที่เป็นพหูพจน์ ตัวอย่างเช่น "The cat runs fast" แสดงให้เห็นถึงการเป็นเอกพจน์ ในขณะที่ "The cat run fast" เป็นตัวอย่างของการเป็นพหูพจน์ ข้อผิดพลาดในการใช้คำกริยาให้สอดคล้องกับประธานเกิดขึ้นได้บ่อยเพราะฉะนั้นคุณควรที่จะระมัดระวังจุดนี้ไว้ คุณสามารถหลีกเลี่ยงและพัฒนาความถูกต้องทางไวยากรณ์ของคุณได้

Tenses

Tenses เป็นตัวสัญญาณบอกเวลาของการกระทำในประโยคและมีความสำคัญในการเขียนเล่าเรื่องและเขียนคำอธิบายให้เชื่อมโยงกัน ข้อผิดพลาดในการใช้ Tenses เกิดขึ้นได้บ่อย เช่น การใช้ Tenses ไม่ถูกต้อง หรือการประยุกต์ใช้ Tenses ไม่สอดคล้องกันในข้อความ ตัวอย่างเช่น "Last year, I am visiting London and I saw many interesting places." ใช้  Present tense เพื่ออธิบายการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างไม่ถูกต้องซึ่งได้สร้างความสับสนว่าการกระทำเกิดขึ้นเมื่อใด

ประโยคข้างต้นควรเขียนให้ถูกต้องว่า "Last year, I visited London and saw many interesting places." เป็นการใช้ Past tense เพื่ออธิบายการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งชัดเจนและสอดคล้องกันมากกว่า ดังนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเข้าใจว่าเมื่อใดควรใช้ Past/Present หรือ Future tenses อย่างเหมาะสมในแต่ละทักษะของการสอบ IELTS เพื่อให้ได้คะแนนสูงๆ

ค้นหาวันสอบที่ว่างตอนนี้!

Active vs Passive voice

การเลือกระหว่าง Active voice และ Passive voice สามารถส่งผลต่อความถูกต้องของประโยคเป็นอย่างมาก Active voice คือประธานเป็นผู้กระทำโดยทำให้เกิดการกระทำที่ตรงไปตรงมาและเป็นผู้ออกแรงกระทำ ตัวอย่างเช่น ‘The committee approved the new policy.’ ในทางกลับกัน Passive voice จะเน้นที่ผลของการกระทำนั้นหรือเป้าหมายของการกระทำนั้นซึ่งมีประะโยชน์ในการเขียนที่เป็นทางการหรือการเขียนเชิงวิชาการ ตัวอย่างเช่น ‘The new policy was approved by the committee.’ การทำความเข้าใจว่าเมื่อใดควรใช้ Active voice หรือ Passive voice ให้มีประสิทธิภาพถือเป็นกุญแจสำคัญในการสื่อสารที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการสอบ IELTS

2. เชี่ยวชาญเครื่องหมายวรรคตอน

เครื่องหมายวรรคตอนเปรียบเสมือนป้ายบอกทางสำหรับผู้อ่านซึ่งช่วยให้มีความลื่นไหลและความชัดเจนทางภาษาเขียน

การใช้เครื่องหมายจุลภาค (Comma)

เครื่องหมายจุลภาคไม่เพียงแต่แยกสิ่งต่างๆ ภายในลิสต์เท่านั้นแต่ยังช่วยเพิ่มความชัดเจนของโครงสร้างประโยคที่ซับซ้อนอีกด้วย การใช้เครื่องหมายจุลภาคผิดสามารถทำให้ตีความหมายผิดหรือมีความกำกวมในความหมายของประโยคได้ ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องหมายจุลภาคในประโยคนี้ “Let’s eat, Grandma” หมายถึงเชิญชวนให้คุณยายทานอาหาร แต่เมื่อไหร่ที่ไม่มีเครื่องหมายจุลภาคในประโยค “Let’s eat Grandma” จะเปลี่ยนความหมายไปอย่างน่าตกใจ

การใช้ Apostrophes ในการย่อคำและแสดงความเป็นเจ้าของ

Apostrophes เป็นเครื่องหมายวรรคตอนที่มีขนาดเล็กแต่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก โดยมีหน้าที่หลักๆ 2 ประการ คือ แสดงความเป็นเจ้าของและอยู่ในรูปแบบย่อคำ เครื่องหมาย Apostrophes แสดงความเป็นเจ้าของดังเช่น “John’s book” หนังสือเป็นของจอห์น และถูกใช้ในการย่อคำของตัวอักษรที่หายไป ตัวอย่างเช่น “don’t” ที่ย่อมาจาก “do not” ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษคือการใช้ Apostrophes ผิดในพหูพจน์ (คุณอย่าทำพลาดหละ!) จำไว้ว่า Apostrophes ไม่ได้ถูกใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นคำพหูพจน์แต่จะใช้ในการแสดงความเป็นเจ้าของและการย่อคำ

การใช้เครื่องหมายอัฒภาค (Semicolon)

เครื่องหมายอัฒภาคไม่ได้ถูกใช้บ่อยแต่สามารถเชื่อมความคิดหรืออนุประโยคในประโยคหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะถูกใช้เมื่อเครื่องหมายจุด full stop มีความจำเป็นอย่างมากและเมื่อเครื่องหมายจุลภาคไม่มีความจำเป็นเลย ตัวอย่างเช่น “She loves reading; books are her escape.” ซึ่งใช้เครื่องหมายอัฒภาคเชื่อมสองความคิดที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน การใช้เครื่องหมายอัฒภาคให้เชี่ยวชาญสามารถเพิ่มความซับซ้อนในการเขียนสอบ IELTS ซึ่งช่วยเสริมความเชื่อมโยงและความลื่นไหลในความคิดของคุณได้

3. ส่วนขยายและการวางตำแหน่งในประโยค

การสื่อสารภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการวางตำแหน่งของส่วนขยายและอนุประโยคที่ถูกต้อง ส่วนขยายคือคำ วลี หรือประโยคที่เพิ่มรายละเอียดหรืออธิบายองค์ประกอบอื่นในประโยค ตัวอย่างเช่น “The student carefully proofread her draft” คำว่า carefully เป็นส่วนขยายที่อธิบายวิธีดำเนินการพิสูจน์อักษร

แต่อย่างไรก็ตามอนุประโยคคือกลุ่มคำที่ประกอบไปด้วยประธานและกริยาที่เป็นส่วนหนึ่งของประโยคหลัก ตัวอย่างเช่น “When the bell rings, the students leave” อนุประโยคคือ “When the bell rings” ที่สร้างบริบทให้กับการกระทำหลัก ในการสอบ IELTS การแสดงความสามารถในการใช้ส่วนขยายและอนุประโยคได้อย่างถูกต้องซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตอบของคุณได้เป็นอย่างมาก

หลีกเลี่ยงการขยายประโยคที่ไม่ถูกต้อง

หลุมพรางในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่พบได้บ่อยคือการขยายประโยคที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวลีที่สื่อความหมายไม่เชื่อมโยงกับคำนามที่เป็นส่วนขยายอย่างไม่สมเหตุสมผลทำให้เกิดความสับสน ตัวอย่างเช่น “Running rapidly, the finish line seemed never-ending.” ส่วนขยาย “Running rapidly” ใช้ไม่ถูกต้องซึ่งควรจะเขียนใหม่เป็น “Running rapidly, the runner felt the finish line seemed never-ending.” ที่ส่วนขยายใช้ขยายประธานอย่างถูกต้อง นั่นก็คือคำว่า “the runner”

วางตำแหน่งใน Relative Clauses ให้เหมาะสม

Relative Clauses เป็นการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำนามและจำเป็นต้องวางตำแหน่งให้ถูกต้องเพื่อรักษาความชัดเจนในประโยค หากวางไว้ผิดตำแหน่งอาจทำให้เกิดความกำกวมซึ่งทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าอนุประโยคกำลังกล่าวถึงอะไร ตัวอย่างเช่น  “I read the book yesterday, which was interesting.” การวางตำแหน่งของ Relative Clauses ซึ่งก็คือ “which was interesting” ได้สร้างความกำกวมว่าหนังสือหรือวันที่น่าสนใจ โครงสร้างที่ชัดเจนกว่านี้จะเป็น “Yesterday, I read the book, which was interesting.” ทำให้แน่ใจว่าอนุประโยคขยาย “the book” ได้อย่างชัดเจน

ใช้คำคุณศัพท์และคำวิเศษณ์ได้เหมาะสม

คำคุณศัพท์และคำวิเศษณ์มีความสำคัญในการเพิ่มรายละเอียดและความหมายในประโยคแต่หากใช้ผิดอาจทำให้เกิดความสับสนและเปลี่ยนความหมายที่ตั้งใจจะสื่อ คำคุณศัพท์ขยายคำนามและควรวางไว้ให้ใกล้คำนามที่ต้องการขยายมากที่สุด ส่วนคำวิเศษณ์ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ หรือคำวิเศษณ์อื่นๆ

โดยพิจารณาจากประโยค ดังนี้

  1. 'The student wrote her essay extremely quickly.'

  2. 'The extremely quick student wrote her essay.' 

ในประโยคแรกคำว่า 'extremely' คือคำวิเศษณ์ที่ขยายคำวิเศษณ์อื่นๆ คือคำว่า 'quickly' ที่ทำหน้าที่ขยายคำกริยา  'wrote' ซึ่งประโยคนี้แสดงให้เห็นว่ากระบวนการเขียนดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

ในประโยคที่สอง คำว่า 'extremely' และ 'quick' ถูกใช้เป็นคำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายคำนาม  'student' ซึ่งหมายความว่านักเรียนเป็นคนที่รวดเร็ว การเปลี่ยนตำแหน่งที่เล็กๆ น้อยๆ นี้เปลี่ยนความหมายของประโยคโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาว่าเมื่อใดควรใช้คำคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์ในประโยคและต้องแน่ใจว่าคำเหล่านั้นสอดคล้องกับคำที่ต้องการขยายเพื่อความหมายที่คุณต้องการได้อย่างถูกต้อง

4. ความเชื่อมโยงในการเขียน

ในการสอบ IELTS การแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงในการเขียนและการพูดไม่เพียงแต่แสดงความสามารถด้านภาษาของคุณแต่ยังช่วยให้มั่นใจในการสื่อสารที่ชัดเจนของคุณด้วย ไปดูกันว่าคุณจะรักษาความเชื่อมโยงไว้ได้ยังไง

โครงสร้างคู่ขนาน

โครงสร้างคู่ขนานหรือเป็นที่รู้จักกันในนามการใช้คำ วลี หรือประโยคที่มีไวยากรณ์เหมือนกัน ซึ่งเป็นการฝึกใช้ไวยากรณ์อันเดียวกันกับองค์ประกอบที่คล้ายกันภายในประโยค เทคนิคนี้ช่วยเพิ่มความสามารถในการอ่านและเพิ่มความสมมาตรในการเขียนของคุณ ข้อผิดพลาดที่พบส่วนมากคือการผสมหลักไวยากรณ์ เช่น “He enjoys running, swimming, and to bike.” เพื่อรักษาความเหมือนกันในประโยคควรจะแก้เป็น “He enjoys running, swimming, and biking.” รูปแบบไวยากรณ์ที่สอดคล้องกันช่วยให้งานเขียนของคุณมีความชัดเจนและมีลำนำ สิ่งนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากในการสอบ IELTS

การเชื่อมโยงใน Tense และสรรพนาม

ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของการเขียนและการพูดคือการรักษาความเชื่อมโยงระหว่าง Tense กับมุมมองการเล่าเรื่องตลอดคำตอบของคุณ หากไม่มีความสอดคล้องใน Tense และสรรพนามอาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังสบสันและทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารของคุณลดลง

ตัวอย่างเช่น ประโยคในการเล่าเรื่อง "I walked (past tense) down the street yesterday. I see (present tense) a beautiful bird” การเปลี่ยนจาก Past tense ไปเป็น Present tense ทำให้เกิดความไม่ลื่นไหลในเรื่อง

เช่นเดียวกับการเล่าเรื่องที่ผสมกัน ตัวอย่างเช่น “I (สรรพนามบุรุษที่ 1) went to the store, and then you (สรรพนามบุรุษที่ 2) bought some apples” อาจทำให้เกิดความกำกวมได้ ดังนั้นพิจารณาตัวเลือกของ Tense และมุมมองการเล่าเรื่องอย่างรอบคอบนอกจากนั้นการนำไปใช้อย่างสม่ำเสมอได้เมื่อจำเป็นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคำตอบข้อสอบ IELTS ของคุณ

หลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน

การใช้ความซ้ำซ้อนในภาษาอาจสร้างผลกระทบในการเขียนของคุณโดยทำให้เกิดการใช้คำซ้ำโดยไม่จำเป็น การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสอบ IELTS ต้องถ่ายทอดความคิดให้กระชับและแม่นยำ

การระบุและลบวลี หรือคำที่ซ้ำซ้อนซึ่งไม่มีประโยชน์กับประโยคของคุณ ตัวอย่างเช่น  "advance planning" ซึ่งมีความซ้ำซ้อนเนื่องจากตามคำจำกัดความการวางแผนเป็นการดำเนินการล่วงหน้าแล้ว การกำจัดความซ้ำซ้อนช่วยให้คุณร่างคำตอบได้อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา และมีประสิทธิภาพ ซึ่งทักษะนี้สามารถเพิ่มคะแนนสอบ IELTS ได้เป็นอย่างมาก

5. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีหลีกเลี่ยง

2-Essential grammar rules to know for your IELTS test - SEA

หากต้องการเก่งในการสอบ IELTS สิ่งสำคัญคือต้องระบุและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ที่พบบ่อยได้ ในส่วนนี้ของบทความจะเน้นไปที่ข้อผิดพลาดโดยทั่วไปในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ซึ่งให้เตรียมกลยุทธ์เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและปรับปรุงความสามารถทางภาษาของคุณ

Double negatives

การใช้คำปฏิเสธซ้ำซ้อนในประโยคเดียวกันมักจะสร้างความสับสนและความหมายขัดกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ ในภาษาอังกฤษการมีคำเชิงลบ 2 คำในประโยคเดียวกันสามารถเปลี่ยนประโยคให้เป็นเชิงบวกได้ ตัวอย่างเช่น “I don’t need no help” จริงๆ แล้วหมายความว่าคุณต้องการความช่วยเหลือเนื่องจากใช้คำปฏิเสธสองคำ ("don't" และ "no") สิ่งสำคัญในการใช้คำเชิงลบแค่คำเดียวนั้นช่วยให้สื่อความหมายได้อย่างชัดเจน การทำความเข้าใจไวยากรณ์ภาษาอังกฤษในด้านนี้มีความสำคัญต่อการแสดงความคิดของคุณในการสอบ IELTS ได้อย่างถูกต้อง

การแยกคำกริยา

กฎเกณฑ์ในการแยกคำกริยาด้วยการใส่คำวิเศษณ์ระหว่าง "to" และคำกริยาได้ใช้ในภาษาอังกฤษสมัยใหม่ในขณะที่กฎไวยากรณ์แบบดั้งเดิมไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น ปัจจุบันการแยกคำกริยาถูกยอมรับในวงกว้างเพื่อให้เหตุผลทางโวหารและเพิ่มความชัดเจน ตัวอย่างที่เป็นที่รู้จักคือวลี “to boldly go” ซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าแบบดั้งเดิมที่ถูกต้อง “to go boldly” ในการเตรียมสอบ ILTES การเข้าใจว่าควรแยกคำกริยาเมื่อใดและแยกยังไงอาจจะเพิ่มความหลากหลายและความแต่งต่างในการใช้ภาษาอังกฤษของคุณได้

การใช้คำพ้องเสียงในทางที่ผิด

คำพ้องเสียงคือคำที่มีเสียงเหมือนกันแต่มีความหมายต่างกันและสะกดต่างกัน ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยของภาษาอังกฤษในการใช้คำว่า "their" (Possessive form) คำว่า "there" (สถานที่) และคำว่า "they’re" (ที่ย่อมาจาก "they are") สลับไปมา การให้ความสนใจกับบริบทและความหมายของคำเป็นสิ่งสำคัญ การเรียนรู้คำพ้องเสียงให้เชี่ยวชาญทำให้คุณไม่เพียงแต่เพิ่มความถูกต้องในงานเขียนของคุณแต่ยังสะท้อนความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับที่สูงขึ้นอีกด้วย

ยกระดับคะแนน IELTS ของคุณกับ IDP

การเรียนรู้ไวยากรณ์ให้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุคะแนน IELTS ที่คุณต้องการ IDP มีแหล่งทรัพยากรที่หลากหลายซึ่งช่วยให้คุณพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษรวมไปถึงการเข้าถึงสื่อการเรียนเพื่อเตรียมสอบ IELTS ออนไลน์ที่มากมายและแบบทดสอบ IELTS ออนไลน์ฟรี เพื่อเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ของคุณลองลงทะเบียนในหลักสูตรหรือชั้นเรียนเตรียมสอบ IELTS เฉพาะทาง แหล่งทรัพยากรเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยคุณสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงในไวยากรณ์พื้นฐานภาษาอังกฤษและแนวคิดทางไวยากรณ์ขั้นสูงซึ่งจำเป็นสำหรับการเป็นเลิศในการสอบ IELTS คุณสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลาโดยดาวน์โหลดแอป IELTS by IDP

IELTS ได้รับการยอมรับว่าเป็นแบบทดสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษชั้นนำของโลกซึ่งได้รับการยอมรับจากองค์กรและสถาบันมากกว่า 12,000 แห่งทั่วโลก เมื่อคุณเลือกที่จะจองสอบ IELTS กับ IDP คุณจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษ เช่น เวิร์คช็อปการเขียนเสมือนจริง และคู่มือการเตรียมสอบ IELTS ที่ครอบคลุม สิทธิประโยชน์เหล่านี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าไม่เพียงแค่ได้เตรียมตัวแต่ยังมั่นใจในความสามารถของคุณในการทำคะแนนที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย การบรระลุคะแนน IELTS ที่คุณคาดหวังจะเป็นการเปิดโลกแห่งโอกาสทางวิชาการและวิชาชีพ เริ่มต้นการเดินทางสู่การตระหนักรู้ในความฝันของคุณและจองการสอบ IELTS กับ IDP วันนี้

จองสอบ IELTS ของคุณตอนนี้เลย!

teaserContent?.mediaData?.imageAltText

IELTS Recognising organisations

Respected and accepted by more than 12,500 organisations in over 150 countries, find out which organisations accept IELTS scores.